กะเหรี่ยง uk : นอกราชอาณาจักรไทยครั้งแรก ในชีวิต #3
ย้อนหลังกลับไปหลายปีก่อน...
เพื่อนผมหลาย ๆ คนหลังจากเรียนจบ ก็ทะยอย ไปได้ดิบได้ดีกันเมืองนอก กันทีละคนสองคน
ส่วนผม ก็ยังใช้ชีวิตมนุษย์เงินเดือนแบบคน กทม เวียนว่ายตายเกิด เจอเรื่องเดิม ๆ อยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หางาน...ได้งาน...ฉลอง...งานหนัก...เครียด...อดนอน.. .หน้าเหียก...หญิงงอน...ลาออก...หางาน...ได้งาน...
วนอยู่เงี้ย
ส่วนไอ้เพื่อนที่ได้ไปอยู่นอก จริง ๆ แล้ว ไม่รู้มันได้ดิบ หรือได้ดี หรอกนะ แน่ แต่ที่แน่ ๆ ผมอิจฉามัน....
เรามักจะคิดว่า ไอ้ดินแดนโพ้นทะเล ที่มีมนุษย์หัวสีทอง พูดคนละภาษากะเรา มันเป็นแดนศิวิลัย
ยิ่งไกลจากประเทศเราเท่าไร ยิ่งใกล้สวรรค์เท่านั้น
ไม่รู้ผมไปเอาความคิดแบบนี้มาจากไหน
ไอ้ฝรั่งมันจะคิดแบบเดียวกะเราหรือเปล่า ก็ไม่ทันได้จับมาคิด
ทั้ง ๆ ที่ก็เห็นมันตะเกียดตะกาย หนีออกจากประเทศมัน มาหาเมียไทย
แล้วสร้างบ้านอยู่ในป่าในบ้านนอก แถวบ้านผมเต็มไปหมด
แถวบ้านผมที่สุโขทัย
มีฝรั่งมาได้ภรรยาไทยอยู่คู่นึง
ฝ่ายชาย ไม่เคยรังเกียจครอบครัวหรือ บ้านฝ่ายหญิงว่าจะบ้านนอกซอมซ่อเลย
กลับชอบซะอีก
ช่วงหน้าหนาวประเทศเค้า เค้าก็จะยกครัวกลับมาที่ไทย
เอาลูกชายตัวเล็กของเค้าที่กำลังทะโมน มาปล่อยให้วิ่งตากแดด เล่นกะเด็กตัวดำ ๆ แถวบ้านตุเลง ๆ
มันเป็นภาพที่แปลกตาพิลึก เด็กฝรั่งหัวทอง ถอดเสื้อ ตัวแดง ๆ วิ่งเล่นกะเด็กแถวบ้าน หัวเราะเอิ๊กอ๊าก ๆ
จริง ๆ แล้วก็เคยได้ยินหลาย ๆ คนที่เค้าได้มีโอกาสไปอยู่เมืองนอกนาน ๆ เค้าก็พูดกรอกหูให้ฟังอยู่บ่อย ๆ นะ
ว่า ที่ไหนมันก็ไม่น่าอยู่เหมือนบ้านเราหรอก
ให้ตายซิ ผมไม่เชื่อ
ไม่เชื่อเด็ดขาดดดดดดดด ....
หิมะขาว วิวสวย อากาศดี ผู้คนดูดี มีสกุล บ้านเมืองสวย ทันสมัย ไม่มีแหล่งเสื่อมโทรม
มันจะไม่น่าอยู่ได้ไง โกหกชัด ๆ
พอผมพูดงี้กลับไป เค้าก็จะยิ้ม ๆ กันแล้วก็มักจะไม่ให้เหตุผลแย้งผมกันเท่าไร
แต่ส่วนมากแล้ว จะพูดแนว ๆ ว่า ความรู้สึก เป็นเจ้าของแผ่นดิน ของที่อยู่ที่นอน มันไม่มี
ผมไม่รับไม่รู้ ไม่สน เช่นเคย
เช่าหอ เช่าคอนโดอยู่ ก็ไม่ใช่เจ้าของห้องซะหน่อยยังอยู่ได้เลย
เดินห้าง เดินสวน ก็ไม่ใช่ห้างของเราซะหน่อย ก็ไม่เห็นจะอึดอัด
ยังไงตอนนั้นผมก็ไม่เชื่อ ยังยืนยันว่า ยิ่งอยู่ได้ไกลประเทศตัวเองมากเท่าไร
เหมือนยิ่งใกล้สวรรค์มากขึ้นเท่านั้น
คิดแล้วก็ตลกตัวเอง โง่เชี่ย ๆ
ผมใช้ความโง่ที่ว่า ผลักดันตัวเอง ให้มานั่งอยู่บนเครื่องบินแขกในวินาทีนี้จนได้
นี่คือเที่ยวบินที่จะส่งกูไปแดนสวรรค์หรอฟะ ผมชักเริ่มเอะใจ
จริง ๆ แล้วมันไม่ควรจะคาดหวังอะไรเริ่ดหรูหรอกนะ
ก็ไอ้ตั๋วที่ซื้อมามันเป็น Economy Class หรือชั้นจัณฑาล น่ะซิ
มันไม่แปลกที่จะมีสะจ๊วดแขก หนวดรึ่ม เดินเฉี่ยวหัว โหวกเหวกโวยวายไปมา หรอก
แต่มันก็ต่างกะสายการบินบ้านเรา ถึงแม้จะเป็นชั้นพอเพียง เวลาเค้าเสริฟชากาแฟ
น้ำเสียงชีก็จะอ่อนหวาน เหมือนอ้อนวอน ให้ช่วยเธอดื่มชา กาแฟของชีที เหมือนกลัวว่าถ้าไม่ช่วยดื่มให้หมด
เครื่องจะหนัก เดี๋ยวบินไม่ถึงปลายทางเอา
มันต่างกะอีแอร์แขกนี่ ที่เราเหมือน เป็นพระเอกหนีโจรป่ามา แล้วกระโดดขึ้นโบกี้รถไฟ แล้วต้องนั่งเจี๋ยมเจี้ยม
ขออาศัยนั่งไปลงสถานีหน้ายังไงหยั่งงั้น
แล้วเวลามันเดินเสิร์ฟชา ก็จะเดินผ่านเร็ว ๆ มองหน้าแล้วถามว่า
ที๊ ๆ ๆ
หื๊อออ อะไรของมึง
ที๊ ๆ ๆ ๆ
อ๋อ Tea
เสริฟแต่ชาด้วย ไม่มีกาแฟ เลยมีแต่ ที๊ ๆ ไม่เหมือนบ้านเราที่จะถามว่า คอฟฟี่ ออร์ ที๊
เล่นเอากูงงไอ้แขกบ้า
จริง ๆ แล้ว ผมค่อนข้างคุ้นเคยกับการนั่งเครื่องบินเล็ก ๆ มากกว่าเครื่องลำใหญ่ ๆ
โดยมักจะนั่งกับ Bangkok Airways บ่อยมาก เพราะว่า เป็นสายการบินเดียว
ที่บินไปลงที่สุโขทัยบ้านเกิดผมได้
แต่มันจะเป็นเครื่องบินเล็ก ใช้สองใบพัดข้างปีก เวลาบินแล้วสั่นทั้งลำ
ผมเรียกมันว่า คอปเตอร์ไม้ไผ่
(ตรงนี้เดี๋ยวจะเอารูปมาแปะให้ดู)
สนามบินก็เป็นของ Bangkok air เอง มีบินขึ้นลงอยู่ยี่ห้อเดียว ทั้งวันมีลงอยู่สองลำ
ลำสุดท้ายลงเสร็จ ก็ปิดสนามบินกันเหี้ยน
ตัวสนามบินเองก็อยู่ซะกลางทุ่งเลยนะ
เวลาเครื่องลดระดับจะลงที จะรู้สักหวั่น ๆ ว่า เอ๊ะ นี่มันถึงแล้วหรอ
ยังไม่เห็นวี่แววของเมืองหรือความศิวิลัยเลยนะ
เบื้องหน้ามีแต่คันนา เห็นวัวและกระบือ ยืนอาบแดด กันเป็นหย่อม ๆ ด้วย
เอ้า เครื่องสั่น พั่บ ๆ ๆ กางล้อแล้ววุ้ย
ฟ้าววววว บินลงเฉียดหัวกระบือ ไปนิดเดียว ครืดดดดดดดดด ถึงแล้วซะงั้น
(จริง ๆ แล้วถ้าใครเคยไปสนามบินสุโขทัย จะเห็นควายตัวเป็น ๆ จริง ๆ นะ ทางสนามบินเค้าเลี้ยงให้มันกินหญ้าโชว์ฝรั่ง)
แต่ถึงจะเล็ก เดินแล้วหัวเกือบชนเพดาน หรือแอร์จะหน้าหงิกบ้างบางจังหวะ
ก็ยังดีกว่านั่งรถทัวร์เยอะ
เพราะถ้านั่งรถทัวร์กลับบ้าน ก็ล่อไป 6-7 ชั่วโมง แต่ถ้านั่งคอปเตอร์ไม้ไผ่แล้ว 50 นาทีก็ถึงเลย
ลงเครื่องปุ๊บแรดต่อได้ทันที ไม่ต้องพักฟื้นอีกครึ่งวันแบบรถทัวร์
จริง ๆ แล้วผมไม่ควรจะบ่นเยอะ เพราะได้นั่งเที่ยวบินนี้ก็ถือว่าบุญมากแล้ว
ผมวางแผนไว้ว่าจะเดินทางช่วงต้นเดือนธันวา โดยซื้อตั๋วไว้เรียบร้อยแล้ว แพคกระเป๋าพร้อม
แต่ปรากฏว่า พี่น้องพันธมิตร ก็มาช่วยกันปิดสนามบิน* ทุกอย่างของผมจึงต้องหงุดชะงักหมด
เหวอแดกไประยะนึง เพราะ class ก็จองไปแล้ว ต้องรีบจัดการย้ายวันเรียนไปก่อน โดยยังไม่รู้ว่าจะย้ายไปลงวันไหน
ซึ่งหลังจากพี่น้องพันธมิตร ฉลองชัยชนะ กลับบ้านไปแล้ว ก็ใช่ว่า ผมจะมีเครื่องนั่งต่อในวันต่อไปเลย
เพราะว่าผู้โดยสารตกค้างเพียบ ต้องแย่งกันตีตั๋ว จนเครื่องเต็ม ไม่มีให้นั่งไปอีกเป็นอาทิตย์ๆ
จนท้ายสุด คุณเหมี่ยว เอเจ้นเทพคนเดิม เธอไปหาเที่ยวบินพิเศษที่เค้าตีเครื่องเปล่า มารับผู้โดยสารตกค้างให้ได้
อันนี้ขอบคุณคุณเหมี่ยวและน้อง ๆ ที่ nonpareil จริง ๆ
(* หมายเหตุผมไม่เกลียด พธม นะ แต่เคือง)
ตรงนี้ เหตุที่ผมได้บิน มันอาจจะเป็นเพราะ วันที่ถึงที่อังกฤษมันเป็นวันที่ 23 ธันวาคม หรือ คืนวันคริสต์มาสอีฟ เลยแหละ
แล้วเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่า เจออะไรในวันนั้นบ้าง
เพื่อนผมหลาย ๆ คนหลังจากเรียนจบ ก็ทะยอย ไปได้ดิบได้ดีกันเมืองนอก กันทีละคนสองคน
ส่วนผม ก็ยังใช้ชีวิตมนุษย์เงินเดือนแบบคน กทม เวียนว่ายตายเกิด เจอเรื่องเดิม ๆ อยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หางาน...ได้งาน...ฉลอง...งานหนัก...เครียด...อดนอน.. .หน้าเหียก...หญิงงอน...ลาออก...หางาน...ได้งาน...
วนอยู่เงี้ย
ส่วนไอ้เพื่อนที่ได้ไปอยู่นอก จริง ๆ แล้ว ไม่รู้มันได้ดิบ หรือได้ดี หรอกนะ แน่ แต่ที่แน่ ๆ ผมอิจฉามัน....
เรามักจะคิดว่า ไอ้ดินแดนโพ้นทะเล ที่มีมนุษย์หัวสีทอง พูดคนละภาษากะเรา มันเป็นแดนศิวิลัย
ยิ่งไกลจากประเทศเราเท่าไร ยิ่งใกล้สวรรค์เท่านั้น
ไม่รู้ผมไปเอาความคิดแบบนี้มาจากไหน
ไอ้ฝรั่งมันจะคิดแบบเดียวกะเราหรือเปล่า ก็ไม่ทันได้จับมาคิด
ทั้ง ๆ ที่ก็เห็นมันตะเกียดตะกาย หนีออกจากประเทศมัน มาหาเมียไทย
แล้วสร้างบ้านอยู่ในป่าในบ้านนอก แถวบ้านผมเต็มไปหมด
แถวบ้านผมที่สุโขทัย
มีฝรั่งมาได้ภรรยาไทยอยู่คู่นึง
ฝ่ายชาย ไม่เคยรังเกียจครอบครัวหรือ บ้านฝ่ายหญิงว่าจะบ้านนอกซอมซ่อเลย
กลับชอบซะอีก
ช่วงหน้าหนาวประเทศเค้า เค้าก็จะยกครัวกลับมาที่ไทย
เอาลูกชายตัวเล็กของเค้าที่กำลังทะโมน มาปล่อยให้วิ่งตากแดด เล่นกะเด็กตัวดำ ๆ แถวบ้านตุเลง ๆ
มันเป็นภาพที่แปลกตาพิลึก เด็กฝรั่งหัวทอง ถอดเสื้อ ตัวแดง ๆ วิ่งเล่นกะเด็กแถวบ้าน หัวเราะเอิ๊กอ๊าก ๆ
จริง ๆ แล้วก็เคยได้ยินหลาย ๆ คนที่เค้าได้มีโอกาสไปอยู่เมืองนอกนาน ๆ เค้าก็พูดกรอกหูให้ฟังอยู่บ่อย ๆ นะ
ว่า ที่ไหนมันก็ไม่น่าอยู่เหมือนบ้านเราหรอก
ให้ตายซิ ผมไม่เชื่อ
ไม่เชื่อเด็ดขาดดดดดดดด ....
หิมะขาว วิวสวย อากาศดี ผู้คนดูดี มีสกุล บ้านเมืองสวย ทันสมัย ไม่มีแหล่งเสื่อมโทรม
มันจะไม่น่าอยู่ได้ไง โกหกชัด ๆ
พอผมพูดงี้กลับไป เค้าก็จะยิ้ม ๆ กันแล้วก็มักจะไม่ให้เหตุผลแย้งผมกันเท่าไร
แต่ส่วนมากแล้ว จะพูดแนว ๆ ว่า ความรู้สึก เป็นเจ้าของแผ่นดิน ของที่อยู่ที่นอน มันไม่มี
ผมไม่รับไม่รู้ ไม่สน เช่นเคย
เช่าหอ เช่าคอนโดอยู่ ก็ไม่ใช่เจ้าของห้องซะหน่อยยังอยู่ได้เลย
เดินห้าง เดินสวน ก็ไม่ใช่ห้างของเราซะหน่อย ก็ไม่เห็นจะอึดอัด
ยังไงตอนนั้นผมก็ไม่เชื่อ ยังยืนยันว่า ยิ่งอยู่ได้ไกลประเทศตัวเองมากเท่าไร
เหมือนยิ่งใกล้สวรรค์มากขึ้นเท่านั้น
คิดแล้วก็ตลกตัวเอง โง่เชี่ย ๆ
ผมใช้ความโง่ที่ว่า ผลักดันตัวเอง ให้มานั่งอยู่บนเครื่องบินแขกในวินาทีนี้จนได้
นี่คือเที่ยวบินที่จะส่งกูไปแดนสวรรค์หรอฟะ ผมชักเริ่มเอะใจ
จริง ๆ แล้วมันไม่ควรจะคาดหวังอะไรเริ่ดหรูหรอกนะ
ก็ไอ้ตั๋วที่ซื้อมามันเป็น Economy Class หรือชั้นจัณฑาล น่ะซิ
มันไม่แปลกที่จะมีสะจ๊วดแขก หนวดรึ่ม เดินเฉี่ยวหัว โหวกเหวกโวยวายไปมา หรอก
แต่มันก็ต่างกะสายการบินบ้านเรา ถึงแม้จะเป็นชั้นพอเพียง เวลาเค้าเสริฟชากาแฟ
น้ำเสียงชีก็จะอ่อนหวาน เหมือนอ้อนวอน ให้ช่วยเธอดื่มชา กาแฟของชีที เหมือนกลัวว่าถ้าไม่ช่วยดื่มให้หมด
เครื่องจะหนัก เดี๋ยวบินไม่ถึงปลายทางเอา
มันต่างกะอีแอร์แขกนี่ ที่เราเหมือน เป็นพระเอกหนีโจรป่ามา แล้วกระโดดขึ้นโบกี้รถไฟ แล้วต้องนั่งเจี๋ยมเจี้ยม
ขออาศัยนั่งไปลงสถานีหน้ายังไงหยั่งงั้น
แล้วเวลามันเดินเสิร์ฟชา ก็จะเดินผ่านเร็ว ๆ มองหน้าแล้วถามว่า
ที๊ ๆ ๆ
หื๊อออ อะไรของมึง
ที๊ ๆ ๆ ๆ
อ๋อ Tea
เสริฟแต่ชาด้วย ไม่มีกาแฟ เลยมีแต่ ที๊ ๆ ไม่เหมือนบ้านเราที่จะถามว่า คอฟฟี่ ออร์ ที๊
เล่นเอากูงงไอ้แขกบ้า
จริง ๆ แล้ว ผมค่อนข้างคุ้นเคยกับการนั่งเครื่องบินเล็ก ๆ มากกว่าเครื่องลำใหญ่ ๆ
โดยมักจะนั่งกับ Bangkok Airways บ่อยมาก เพราะว่า เป็นสายการบินเดียว
ที่บินไปลงที่สุโขทัยบ้านเกิดผมได้
แต่มันจะเป็นเครื่องบินเล็ก ใช้สองใบพัดข้างปีก เวลาบินแล้วสั่นทั้งลำ
ผมเรียกมันว่า คอปเตอร์ไม้ไผ่
(ตรงนี้เดี๋ยวจะเอารูปมาแปะให้ดู)
สนามบินก็เป็นของ Bangkok air เอง มีบินขึ้นลงอยู่ยี่ห้อเดียว ทั้งวันมีลงอยู่สองลำ
ลำสุดท้ายลงเสร็จ ก็ปิดสนามบินกันเหี้ยน
ตัวสนามบินเองก็อยู่ซะกลางทุ่งเลยนะ
เวลาเครื่องลดระดับจะลงที จะรู้สักหวั่น ๆ ว่า เอ๊ะ นี่มันถึงแล้วหรอ
ยังไม่เห็นวี่แววของเมืองหรือความศิวิลัยเลยนะ
เบื้องหน้ามีแต่คันนา เห็นวัวและกระบือ ยืนอาบแดด กันเป็นหย่อม ๆ ด้วย
เอ้า เครื่องสั่น พั่บ ๆ ๆ กางล้อแล้ววุ้ย
ฟ้าววววว บินลงเฉียดหัวกระบือ ไปนิดเดียว ครืดดดดดดดดด ถึงแล้วซะงั้น
(จริง ๆ แล้วถ้าใครเคยไปสนามบินสุโขทัย จะเห็นควายตัวเป็น ๆ จริง ๆ นะ ทางสนามบินเค้าเลี้ยงให้มันกินหญ้าโชว์ฝรั่ง)
แต่ถึงจะเล็ก เดินแล้วหัวเกือบชนเพดาน หรือแอร์จะหน้าหงิกบ้างบางจังหวะ
ก็ยังดีกว่านั่งรถทัวร์เยอะ
เพราะถ้านั่งรถทัวร์กลับบ้าน ก็ล่อไป 6-7 ชั่วโมง แต่ถ้านั่งคอปเตอร์ไม้ไผ่แล้ว 50 นาทีก็ถึงเลย
ลงเครื่องปุ๊บแรดต่อได้ทันที ไม่ต้องพักฟื้นอีกครึ่งวันแบบรถทัวร์
จริง ๆ แล้วผมไม่ควรจะบ่นเยอะ เพราะได้นั่งเที่ยวบินนี้ก็ถือว่าบุญมากแล้ว
ผมวางแผนไว้ว่าจะเดินทางช่วงต้นเดือนธันวา โดยซื้อตั๋วไว้เรียบร้อยแล้ว แพคกระเป๋าพร้อม
แต่ปรากฏว่า พี่น้องพันธมิตร ก็มาช่วยกันปิดสนามบิน* ทุกอย่างของผมจึงต้องหงุดชะงักหมด
เหวอแดกไประยะนึง เพราะ class ก็จองไปแล้ว ต้องรีบจัดการย้ายวันเรียนไปก่อน โดยยังไม่รู้ว่าจะย้ายไปลงวันไหน
ซึ่งหลังจากพี่น้องพันธมิตร ฉลองชัยชนะ กลับบ้านไปแล้ว ก็ใช่ว่า ผมจะมีเครื่องนั่งต่อในวันต่อไปเลย
เพราะว่าผู้โดยสารตกค้างเพียบ ต้องแย่งกันตีตั๋ว จนเครื่องเต็ม ไม่มีให้นั่งไปอีกเป็นอาทิตย์ๆ
จนท้ายสุด คุณเหมี่ยว เอเจ้นเทพคนเดิม เธอไปหาเที่ยวบินพิเศษที่เค้าตีเครื่องเปล่า มารับผู้โดยสารตกค้างให้ได้
อันนี้ขอบคุณคุณเหมี่ยวและน้อง ๆ ที่ nonpareil จริง ๆ
(* หมายเหตุผมไม่เกลียด พธม นะ แต่เคือง)
ตรงนี้ เหตุที่ผมได้บิน มันอาจจะเป็นเพราะ วันที่ถึงที่อังกฤษมันเป็นวันที่ 23 ธันวาคม หรือ คืนวันคริสต์มาสอีฟ เลยแหละ
แล้วเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่า เจออะไรในวันนั้นบ้าง
Total Comments 10
Comments
-
Posted 30-07-2009 at 12:45 AM by Nut -
รออ่านอีกครับ หนุกหนานมาก :P
Posted 30-07-2009 at 03:20 PM by maxxpassion' -
Posted 30-07-2009 at 10:36 PM by P!aw -
Posted 31-07-2009 at 06:05 AM by Garato
Updated 31-07-2009 at 06:24 AM by Garato -
Posted 01-08-2009 at 08:53 AM by keano-manz -
Posted 02-08-2009 at 03:43 PM by Thinking_41 -
Posted 03-08-2009 at 06:27 PM by keano-manz -
Posted 04-08-2009 at 08:12 AM by Bordin -
Posted 05-08-2009 at 10:47 PM by a42 -
Posted 13-03-2012 at 03:02 PM by under